jump to navigation

สิ่งมีชีวิตสุดท้าย. . ที่จะอยู่บนโลกคือ? February 24, 2008

Posted by Grassy Green in 1.
trackback

“แมลงสาบ”

ต้องมันแน่ๆ ที่ใครๆ ก็กล่าวถึงกันว่า น่าจะเป็นสิ่งสุดท้าย

แม้มันจะมาคู่โลกตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มันยังมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ต่อไป

ยังโลกหน้าอีก . . เอากับท่าน ‘สาบ สิ

ความเป็นไปได้ก็ยังคงอยู่ตั้งแต่ 350 ล้านปีที่แล้ว

ถึงปัจจุบัน มันก็ยังสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม

ถ้าลองลอกเลียนการดำรงชีพแบบมันได้นะ. . (. . . แน๊ ห้ามแหวะสิ!) ฮะฮะ

คนเราก็อาจได้อยู่ต่อไปถึงโลกหน้าเช่นเดียวกัน

(อยู่กับมัน . .ต่อไป เอ๊ มันดีหรือไม่ดีเนี่ย)

อย่างไรก็แล้วแต่ มนุษย์เราก็ยังคงเรียนรู้

ศึกษาถึงการปรับตัว การรักษาสมดุลเช่นเดียวกัน

เพื่อให้คงสภาพความเป็นกลาง

ความเป็นกลาง . . ทางสายกลาง

ซึ่งถือเป็นทางที่สมดุลที่สุด ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม

หรือทุกทุกทางก็ว่าได้ อยู่ที่ใครจะรู้เห็นและปฏิบัติได้ทันท่วงที

ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คือ ปัจจัยสี่

ที่อยู่อาศัย . .เครื่องนุ่งห่ม . .อาหาร . . . .และยารักษาโรค

การรักษาความสมดุลเพื่อคงความเป็นกลาง

“น่าจะ” สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่อง

.

.

เรื่องแรก ที่พอรู้ๆกัน ก็เรื่อง ที่อยู่อาศัย

การรักษาสมดุล หรือที่เรียกกันว่า “ฮวงจุ้ย”

เป็นศาสตร์ที่ได้ให้มนุษย์ได้รู้จักการดำรงชีพให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

ซึ่งยึดถือมาจาก ความต้องการดั้งเดิมของมนุษย์ด้านที่อยู่อาศัย

ที่มีความเป็นมาตั้งแต่ในอดีต . .อันนี้ก็พอเข้าใจว่า

การได้เรียนรู้ก็ทำให้เราอย่างน้อยได้รู้เท่าทัน

ถึงที่มาที่ไป ถึงความต้องการของมนุษย์ดั้งเดิมจริงๆ

การสั่งสอนดั้งเดิม และเหตุผลดั้งเดิม เป็นมาอย่างไร

ก่อนที่ปัจจัยภายนอก ความ in trend สังคม วัฒนธรรม เชื้อชาติ

จะหล่อหลอมมนุษย์มากเกินไป จนไม่รู้ว่าตัวเราต้องการอยู่แบบไห.

.นกันแน่

เรื่องเครื่องนุ่งห่ม

ร้อน หนาว เย็น อุ่น มันเป็นสิ่งสำคัญ

เพื่อรักษาสมดุลของอุณหภูมิพื้นฐานของร่างกาย

ร่างกายเรารับรู้ “หนาวจัง” ส่งไปยังสมองได้

เพื่อหยิบแจ๊กเก็ตอีกซักตัวใส่เข้าไปถ้ามันจะรู้สึกว่า หนาวเกินไปซะแล้ว

(งานนี้ ปัจจัยภายนอก ความ in trend สังคม วัฒนธรรม เชื้อชาติ

ไม่เกี่ยวเช่นกัน ถือว่าเป็นความพอเพียง ของความพอใจที่ต้องคิดกันเองอีกที)

เรื่องอาหาร

ถูกสอนกันมา ว่าให้กินให้ครบ 5 หมู่

กินอาหารให้พอเหมาะ ครบส่วนพอดี

“พอเหมาะ . พอดี” มันแค่ไหน เอาอะไรมาวัด

ความรู้สึกอิ่มหรือ? น้ำหนักโดยรวมหรือ?

ปริมาณแคลลอรี่หรือ?

บางคนคิดว่า รักษาตัวเองดีแล้ว ก็ยังเป็นโรคนั้นโรคนี้ได้

โรคมะเร็งอย่างหนึ่ง ที่เกิดมากับความงุนงงว่า

มาจากการดำรงชีพ หรือชะตากรรม?

รักษาตัวเองดีแล้วแท้ๆ ทำไมเป็นได้ พอรู้สาเหตุแต่ก็เป็นไปแล้ว

ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ ห้ามกินของไหม้นะ เดี๋ยวเป็นมะเร็ง

กิน fast food บ่อยๆไม่ดีนะ น้ำอัดลมไม่ดีนะ

(ที่ไม่ดีๆ น่ะ คนกินกันตั้งเยอะ ขายดีกันจะตายไป)

มันเป็นเหมือนกับ สิ่งมาสะกิดใจ ห้ามแล้วเป็นงัย

ขัดกับความอยากของตัวเอง ว่ากินซักนิด ก็คงไม่เป็นไร

“เราออกกำลังกายบ่อยจะตาย กินได้”

“ตัวเราน่ะ ยังงัย ก็ไม่อ้วนหรอก กินได้” (เชื่อว่า เมตาบอลิซึ่มเราต้องสูงแน่ๆ)

จิตใจคิดปรุงแต่งไปเรื่อย เพื่อรองรับความอยาก

แต่เมื่อวกมาเรื่องเดียวกัน ถึงความสมดุล

การกินอาหารที่สมดุลต่อร่างกายของ “แต่ละคน” มันเป็นอย่างไร??

เราไม่ใช่นักโภชนาการนะ อ่านแล้วต้องวิเคราะห์เองอีกทีนะ

เราแค่อ่านเจอมาว่า “การกินอาหารแบบหยินหยาง”

เป็นการกินอาหารที่รักษาความสมดุลของร่างกายได้

สิ่งนี้ช่วยตอบคำถามเราด้านบนได้เท่านั้นเอง

อาจเป็นสิ่งงั้นๆ ของคนอื่น แต่เป็นความรู้ที่แปลกใหม่สำหรับเรา อิอิ

มารู้จักกับชนิดอาหาร ร้อน(หยิน) เย็น(หยาง)

อาหารหรือพืช ที่มีแนวโน้มเป็นหยิน

1. มีสัดส่วนของ โพแทสเซียมสูงในอาหาร

2. เติบโตขึ้นงอกงามเร็วใน ฤดูร้อนหรือภูมิอากาศเขต ใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลก

3. พืชผลที่เติบโตง่ายเร็วขึ้นสูง (หยิน)

4. มีลักษณะนิ่มอ่อน (หยิน)

5. มีปริมาณน้ำหรือของเหลวอยู่สะสมภายในมาก เช่น แตงโมหรือมะพร้าว

6. ต้นไม้ที่ขึ้นตั้งตรงสูงชะลูดเสียดฟ้า เช่น ต้นไผ่ ต้นมะพร้าว ต้นตาล

7. ต้นไม้ที่มีใบใหญ่โตเช่น ต้นกล้วยแสดงว่า อยู่ใกล้น้ำ ใกล้ความชื้นสูง

8. ลักษณะของใบไม้ที่เรียบกลมเงามัน

9. พืช ผลไม้ที่สุกง่ายสุกเร็ว ถูกความร้อนเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนสภาพเช่น กล้วย ถั่วงอก ใบตำลึง

10. พืช ผลไม้ใดที่รับประทานแล้ว ร่างกายจะรู้สึกเย็น ทำให้ซึม ทำให้ขี้เกียจ ง่วงและนอนตื่นสาย

พืชเหล่านี้มีพลังหยินมากเช่น น้ำผลไม้เกือบทุกชนิด น้ำมะพร้าว น้ำลำไย น้ำตาลสด น้ำผลไม้เหล่านี้ล้วนมีน้ำตาลในผลไม้สูงที่ทำให้เลือดในร่างกายเจือจาง และเปลี่ยนสภาวะเป็นกรดง่าย เกิดอาการเหน็บชา และปัสสาวะบ่อย รับประทานหลังอาหารแล้วจะรู้สึกง่วงซึมอยากงีบนอน เพราะน้ำตาลเข้าเส้นเลือดเหมือนโรงหมักกระแช่ สาโท

อาหารหรือพืชที่มีแนวโน้มเป็นหยาง

1. อาหารที่มีสัดส่วนโซเดียม (เกลือ) สูง

2. พืชที่ขึ้นงอกงามในฤดูหนาว หรือภูมิอากาศภาคเหนือ

เช่น ลำไยของภาคเหนือ จะหยางกว่า พืชภาคใต้ (มะพร้าว) หรือต้นยาง (ปักษ์ใต้)

3. พืชที่เติบโตช้าใช้เวลานานกว่าจะโต

4. พืชที่มีขนาดเล็กแต่เนื้อแน่นต้นสั้น

5. พืชที่มีใบเล็กเป็นเส้นแข็งเช่น ใบสน

6. พืชที่มีความชื้นหรือปริมาณน้ำภายในน้อย

7. พืช ผลไม้ที่ขึ้นขยายออกด้านข้าง แนวนอน

8. พืชทุกชนิดที่มีใบเล็กเป็นพืชค่อนข้าง หยางในตระกูลหยิน

9. พืชที่มีใบไม่เรียบเป็นฟันเลื่อย เป็นซี่ เป็นแฉก

10. พืช ผลไม้ที่ใช้เวลานาน กว่าจะสุก

11. พืชที่เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว เมื่อถูกความร้อนจะเปลี่ยนสภาพจากอ่อนเป็นแข็งตัว

12. พืชใดที่รับประทานแล้วให้ความร้อนสูงกว่าเช่น พืชประเภทพืชราก

เช่น ขิงหรือโสม เป็นหยางมากกว่า

หากรับประทานมากจะรู้สึกกระฉับกระเฉง ว่องไว นอนน้อย

ในตระกูลของไข่ ให้พิจารณาจากระดับพื้นดินเป็นหลัก

เช่น นกเป็น สัตว์บนอากาศ เป็นสัตว์ปีกตัวเบากว่า ไข่ก็จะเป็นหยางมาก

ไข่นกจะลูกเล็กไม่เหมาะสำหรับคนเดินบนดินรับประทาน ในขณะเดียวกัน

ไข่เป็ดหรือไข่ห่าน ก็เป็นไข่ของสัตว์น้ำมีปีก ที่เป็นพันธุ์ที่ยังไม่สมดุล

เป็นพันธุ์ทาง ระหว่าง บก น้ำ อากาศ ไข่เป็ด ไข่ห่าน

คนจีนจึงถือว่าแสลง เพราะเป็ด ห่าน ยังลงว่ายน้ำได้

ส่วนไข่ไก่ถือว่า สมดุลกว่าในจำพวกสัตว์ปีกทั้งปวง

.

.

ในขณะเดียวกัน ก็ถือว่าไข่ของสัตว์ทุกชนิดนั้น มีธรรมชาติที่เป็นหยางโดยกำเนิด

เพราะเป็นตัวอ่อนที่กำลังจะต้องโตไปอีก จึงเป็นหัวกะทิที่อัดแน่น

ไม่ควรบริโภคปริมาณมาก เพราะมีโปรแกรมหน่วยความจำที่แฝงอยู่มหาศาล

ทารกหรือเด็กอายุยังน้อย หากรับประทานไข่มาก

จะมีปัญหาในภายหลังตอนโตเพราะร่างกายได้สะสมข้อมูลความจำของชีวประวัติไก่ไว้มากเกินไป

.

.

รวมทั้งนมวัวที่มีข้อมูลของชีวประวัติ ตระกูลวัวไว้มาก

เมื่อรวมกันในร่างกายจะทำให้เด็กสมัยใหม่ โตเร็ว กระดูกใหญ่

ในขณะเดียวกัน หน้าอกก็จะโตยื่นออกมามากจนเกินพอดีกลาย

เป็นคนอาภัพในภายหลังเพราะเซลล์ในร่างกายตอนหนุ่มสาว

ยังมีความหยางอยู่ จึงดูว่าหุ่นดี สวยงาม รูปงาม

เพราะพลังหยางยังแกร่งพอที่จะยึดเหนี่ยวไว้ให้ได้

แต่พอเวลาผ่านไปอันสั้น ร่างกาย จะพัฒนาสู่ความเสื่อม

เฉาเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อ ยังหนุ่มสาวอยู่

ร่างกายต้องทนแบกน้ำหนักและรองรับส่วนเกินนี้ไว้ให้กว่าสองเท่าตัว

จนกล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป

ในประเภทนมสัตว์ นมแพะ เนยทำจาก นมแพะ ถือว่าหยางมาก

เหมาะสำหรับคนเมืองหนาวเท่านั้น ที่บริโภคบ้านเราเป็นเมืองร้อน

การบริโภค ดื่มนม จึงเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นนโยบายส่งเสริมเยาวชน

ที่ควรได้รับการทบทวนก่อนจะสายเกินไป นมวัว เป็นอาหารของคนเมืองหนาว

ที่มีหิมะตกมี 4 ฤดูกาล นมวัวเป็นผลิตผลของคาวบอย เมืองโคบาลที่มิใช่เมืองไทย

.

.

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หยินจัดที่สุดคือ

วอดก้า ( Vodka) เป็นเครื่องดื่มของคนเมืองหนาว

ดื่มเพื่อเพิ่มความร้อนไว้ต้านความหนาว ที่มีหิมะตกหนัก

ถัดมาคือ ไวน์ ( Wine) ถัดมา คือ วิสกี้ ( Whiskey)

ถัดมาคือ เบียร์ที่ถือว่า หยินน้อยกว่า

.

.

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถือว่าเหมาะสมก็คือ สาเก ( Sake)

ทั้งที่เดิมเป็นหยิน แต่เวลาดื่มนั้น หากแช่น้ำร้อนเป็นการปรับลดหยินลง

กลายเป็นหยาง กลายเป็นสรรพคุณของยาบำรุงได้

เพราะบริโภคเมื่อยังอุ่นอยู่ นี่คือเคล็ดลับของการปรับดุลของคนญี่ปุ่น

ในกรณีเบียร์หรือไวน์หรือวิสกี้ก็ดี หากแทนที่เราจะลดความหยิน

ซึ่งเป็นโทษกับสุขภาพร่างกายเรากลับไป เพิ่มความหยิน โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ด้วยการแช่เย็น (หยิน) ใส่น้ำแข็ง (หยิน) เติมโซดา คาร์บอเนต (เพิ่มหยิน)

แล้วยังรับประทานใน ห้องแอร์ (หยิน) เวลากลางคืน (หยิน)

สรุปรวมความแล้ว เราเพิ่มโทษความเป็นหยินขึ้น หลายเท่าทวีคูณ

ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับเลือดในร่างกาย นำไปสู่โรคตับและโรค

เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด

ที่มา

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

.

แล้วเราจะรู้ความต้องการของร่างกายที่แท้จริงของเราได้อย่างไร?

แบบไม่ใช่ความรู้สึกอยาก

มันก็มีพลังชีวิตที่เรียกว่า “ชี่”

เมื่อใดที่เกิดความเจ็บป่วย อ่อนเพลียไม่มีแรง

นั่นแหละคือพลังขับเคลื่อนภายในร่างกายลดลง

เมื่อหายป่วยร่างกายฟื้นขึ้นแล้ว กำลังจึงกลับมาใหม่

พลังชีวิตภายในร่างกายคนเรานี้เรียกว่า “ชี่”

สามารถสร้างได้ด้วยอาหาร และการฝึกร่างกายกับลมหายใจ

คนเราเกิดมาพร้อมกับพลังชีวิตพื้นฐาน

ที่ได้รับขณะอยู่ในครรภ์มารดา แต่ในการดำรงชีวิตต่อมา

ร่างกายจำเป็นที่จะต้องสร้างพลังชี่ขึ้นมาใช้เอง

พลังชี่จะเกิดได้ต้องอาศัยการทำงานของอวัยวะ

ประกอบกับสารจำเป็น เช่น อาหาร และอากาศ ฯลฯ

หากอวัยวะเกิดผิดปกติหรือสารจำเป็นไม่เพียงพอ

จะเกิดภาวะ พลังพร่อง เป็นสาเหตุให้เจ็บป่วยได้

แรงเกื้อกูลและต้านทานระหว่างหยินกับหยาง

ในร่างกายช่วยให้พลังชี่ไหลเวียนได้ดี

หากหยิน-หยางเสียดุลยภาพ

ย่อมกระทบการสร้างและไหลเวียนของพลังชี่

ทำให้เกิดความเจ็บป่วยด้วยภาวะพลังพร่อง

เรื่องของพลังชี่จึงเกี่ยวข้องกับหยิน-หยางนั่นเอง

แล้วเราจะเลือกใช้ได้อย่างไร ??

โดยทั่วไปความสัมพันธ์ของหยิน-หยาง

สำแดงออกเป็นภาวะเย็น-ร้อน-ชื้น-แห้งในร่างกาย

เมื่อหยินและหยางในร่างกายเสียสมดุล

เนื่องจากความบกพร่องภายในและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก

ผู้นั้นก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย และมีอาการสำแดงคล้ายกัน

เช่น เมื่อหยางมีน้อย หรือหยินมีมากเกิน จะเกิดอาการหนาวถึงหนาวสั่น

เมื่อหยางมากเกินหรือหยินน้อย ร่างกายร้อนเกิน

อาการอักเสบและไข้จะปรากฏเป็นต้น

เมื่อความเจ็บป่วยเกิดจากยิน-หยางในร่างกายเสียสมดุล

การรักษาจึงมุ่งฟื้นฟูสมดุลของหยิน-หยาง

ซึ่งมีตำราการแพทย์จีนกล่าวไว้ว่า

“โรคร้อนรักษาด้วยยา (สมุนไพร) เย็น โรคเย็นรักษาด้วยยาร้อน…

หรือกล่าวว่า….โรคหยาง ใช้หยินรักษา โรคหยิน ใช้หยางรักษา”

อาหารและยารักษาโรค สร้างความสมดุลกันเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

คุณเป็นโรคหยิน หรือ หยาง?

โรคหยิน

เราจะมีอาการไม่สดใส หน้าซีด ไม่มีแรง ไม่กระหายน้ำ

แขน ขาเย็น ขี้หนาว เสียงเบาค่อย หายใจเบา ชีพจรเต้นช้า

ปัสสาวะมากและใส อุจจาระน้อยและค่อนข้างเหลว ท้องอืด

ลิ้นบวมโต แถมมีสีซีด และมีชั้นฝ้าขาวลื่น

.

โรคหยาง

เราจะมีอาการหน้าแดง ตาแดง หายใจแรง

เสียงดังใหญ่ ตัวร้อน หงุดหงิด กระวนกระวาย เจ็บคอ คอแห้ง

ท้องผูก ชีพจรเต้นเร็ว ลิ้นแห้งแต่มีสีแดงเข้ม มีชั้นฝ้าเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม

แล้วร่างกายเราอยู่ในภาวะ หยินหรือหยาง ?

นอกจากจะดูที่คุณสมบัติของอาหารเป็นหลักแล้ว เราควรดูคุณสมบัติในตัวของเราด้วยว่า
ภาวะร่างกายของเราเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน เช่น
ถ้าเรากินอาหารพวกหยางในปริมาณไม่มากเกินไป แล้วเกิดมีอาการเจ็บคอหรือคอแห้ง
อย่างนี้แสดงว่าร่างกายเราอยู่ในข่ายพวกหยางค่ะ
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพยายามหาอาหารพวกหยินมากิน เพื่อให้เกิดความสมดุลขึ้น
.
.
เพื่อความเข้าใจ ลองคิดตามตัวอย่างที่ยกมานี้ดู
สมมติว่าเรากำลังกินแกงเลียงที่มีภาวะหยางมากกว่าหยิน
เพราะใส่พริกไทย หัวหอม และเครื่องเทศต่างๆ
ถ้าเรารู้สึกว่าทุกครั้งที่เรากินแกงเลียงจะเกิดอาการร้อนใน
เราอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าร่างกายเรามีภาวะหยางมากกว่าภาวะหยิน
ทีนี้เมื่อคิดตามแบบหยินหยางแล้วก็ลองเติมบวบ ใบตำลึง และข้าวโพด (หยิน)
เข้าไปมากๆ ในแกงเลียง ก็จะช่วยให้อาหารมื้อนี้เกิดความสมดุลต่อร่างกายเรามากขึ้น
อาการร้อนในก็จะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าเรากินอาหารพวกหยินปริมาณไม่มากนัก
แต่เกิดอาการท้องอืด มึนหัว นั่นแสดงว่าร่างกายเราอยู่ในภาวะของหยินมากกว่าหยาง
ดังนั้น การกินอาหารหยินที่เย็นมากๆ เช่น บวบ ผักกาดขาว
ในช่วงที่ร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้า
จากหลักการกินข้างต้น นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ทำให้ภาวะร่างกายเราสมดุลแล้ว
เราควรดูด้วยว่าตัวของเรานั้นอยู่ในภาวะหยินหรือหยางด้วย
เพื่อช่วยให้การกินอาหารนั้นๆ ได้ประโยชน์สูงสุด
เรียบเรียงจากบทความพิเศษโดย คุณวิกิต วัฒนาวิบูล
.
.

ความสมดุลของหยิน – หยางนี้

เป็นคำตอบให้เราอย่างไม่น่าเชื่ออีกเช่นกัน

ว่าการเลียนแบบการดำรงชีพแบบ “แมลงสาบ”

(ไม่ใช่ให้กินขยะ หรืออยู่อย่างสกปรกแบบมันนะ)

แต่ให้เรียนรู้ถึง “วิธี”

การปรับตัวให้เข้ากับสภาพความต้องการแท้ๆ

ของตัวเอง ของแต่ละคนมากกว่า

.

.

ตอนนี้ ก็อยู่ที่ตัวเองแท้ๆ แล้ว

“ว่ารับรู้เท่าทันร่างกายของตัวเองดีแค่ไหน”

ทั้งๆที่ บางครั้งร่างกายต้องการจะสื่อหลายหน

ถ้าเราได้ใส่ใจ จับสังเกตสักนิดว่า

ร่างกายเราเรียกร้อง หรือต้องการอะไรอย่างแท้จริง

(อ๊ะ อ๊ะ คราวนี้ อย่าเข้าข้างแต่จิตใจตัวเองอีกนะ ร่างกายน้อยใจแล้ว)

Comments»

1. pui - June 28, 2008

thk สนใจเรื่องหยินหยาง แต่ไม่เข้าใจเท่าไหร่
หยินนี่เย็น หยางนี่ร้อนหรือเปล่า อ่านแล้วยิ่งงง

มารู้จักกับชนิดอาหาร ร้อน(หยิน) เย็น(หยาง)
หัวข้อกับหัวเรื่องย่อย มันดูแย้งๆกันไงไม่รู้
เช่น การกินอาหารหยินที่เย็นมากๆ เช่น บวบ ผักกาดขาว
เลยไม่รู้กันพอดีว่า ร้อนหรือเย็น งงมาก

2. pui - June 28, 2008

ในประเภทนมสัตว์ นมแพะ เนยทำจาก นมแพะ ถือว่าหยางมาก

เหมาะสำหรับคนเมืองหนาวเท่านั้น

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หยินจัดที่สุดคือ

วอดก้า ( Vodka) เป็นเครื่องดื่มของคนเมืองหนาว

ยิ่งอ่านก็ยิ่งงงมากๆ

3. pui - June 28, 2008

ขออนุญาต
http://www.elib-online.com/doctors47/food_food003.html

ไปอ่านต่อที่นี่นะครับ หรือ หาจากชื่อ คนเรียบเรียง หรือเจ้าของบทความตัวจริงก็ได้

4. Grassy Green - June 30, 2008

เราก็เอาข้อมูลมาจากผู้เรียบเรียงพิเศษ อย่างที่ได้ระบุไว้ด้านบนแล้วค่ะ
เป็นความรู้ใหม่ที่น่าสนใจ (สำหรับเรา)
กำลังศึกษาอยู่ ถ้าจะถามถึงวิธีใช้ ก็คงยังไม่กล้าตอบเท่าไหร่จ้ะ
เพียงต่อตอนนี้ได้เห็นว่ามีความมหัศจรรย์ของศาสตร์การสร้างความสมดุล
ที่สามารถประยุกต์ใช้กับการกิน การเป็นอยู่
ส่วนวิธีใช้ยังมิกล้า confirm จ้ะ ว่าใช้ได้ถูกต้องหรือเปล่า
(ถ้าได้ความอย่างไร มา แชร์กันได้นะ)

5. nobitalk - September 25, 2008

รับปรึกษาฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยบ้าน ฮวงจุ้ยกิจการร้านค้า รับออกแบบตบแต่งภายนอก ภายใน ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง มั่งคั่ง
ร่ำรวย สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ลูกหลานบริวาร …
ลองเข้าไปดูนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์กับท่าน
http://www.fengshuiwin.com/fengshui_1.htm

6. ชัยยุทธ - December 21, 2008

รับซื้อ วีซีดี / ดีวีดี หนังมือสอง
ให้ราคาดี รับซื้อถึงที่
โทร. 087-057-5226

7. ทำอาหาร - September 2, 2009

^^


Leave a comment